เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๕ พ.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อากาศร้อนมาก อากาศร้อนแต่ใจไม่ร้อน ถ้าใจร้อน ร้อนเป็น ๒ เท่านะ โลกมันเร่าร้อน ถ้าโลกเร่าร้อน เราอยู่กับโลกเห็นไหม ถ้าโลกร่มเย็นเป็นสุข เราก็ร่มเย็นเป็นสุขไปด้วย ถ้าโลกเร่าร้อน เห็นไหม เหมือนกรณี อย่างเช่นเรานี้ ใครมาเห็นเข้าก็จะบอกว่า รับไม่ได้นะ กิริยาแรงมาก

เราก็บอกว่า เวลาไฟไหม้นี้ เวลาไฟไหม้ เราจะเตือนคนไฟไหม้ เห็นไหม เวลาไฟไหม้ มันไหม้บ้าน ไหม้เรือน ไหม้ทุกอย่างเราเสียหายหมดนะ แต่ถ้าเขาซ้อมไฟไหม้ เขาซ้อมต่างๆ อาการซ้อม มันทำอย่างไร มันก็ไม่เหมือน แต่ถ้าเราเห็นไฟไหม้บ้านเรา มันไฟไหม้บ้าน ไฟจะไหม้ลามไปคนอื่นไป คนอื่นไป แล้วเราเตือนเขาเราบอกว่าบ้านเขาไฟไหม้ ให้เขาระวังตัว ให้ขนทรัพย์สินออกไป อาการอย่างนั้น อาการจะต้องนุ่มนวลไหม

อันนี้ก็เหมือนกัน เวลาธรรมออกมาจากใจ มันออกมาจากใจนะ มันอัดออกมาจากใจ มันเห็นโทษ เห็นโทษของกิเลส เห็นโทษของตัณหาความทะยานอยาก เวลามันออกมาจากใจ กิริยามันออกมาด้วยความจริงจังไง กิริยาจริงจังแต่ก็บอกว่ากิริยาอย่างนี้มันใช้ไม่ได้ กิริยามันใช้ไม่ได้

อาการของคนไฟไหม้ อาการของคนประสบอุบัติเหตุ ถ้าเขาช่วยเหลือเรา ดูสิ เราเห็นคนประสบอุบัติเหตุนะจนอาการหนัก คนช่วยเหลือจะตกอกตกใจมากเลย เพราะอะไร เพราะเขารู้ถึงโทษของมัน ถ้าเรารู้โทษของมันว่าถ้าเราทำชักช้าไป มันจะเสียหายมาก ถ้าเรารีบขวนขวาย ถ้าเราทำคนไข้คนที่ประสบอุบัติเหตุนั้น เขาจะรอดชีวิตจากการประสบอุบัติเหตุ

อันนี้ก็เหมือนกัน เวลาที่กิเลสมันขี่หัวใจของเรา เราไม่รู้หรอก เวลาพูดไป เราก็นิ่มนวลกัน นิ่มนวลกัน พอแสดงกิริยาที่รุนแรงออกมา เราก็รับไม่ได้ รับไม่ได้ เวลาผลของมันล่ะ เรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน

อย่างโลกปัจจุบันนี้ ดูสังคมซิ สังคมมันมีเหลื่อมล้ำต่ำสูง เป็นเรื่องธรรมดานะ สังคมเหลื่อมล้ำต่ำสูง เพราะอะไร เพราะเวลาเกิดเวลาตาย คนหนึ่งเกิดชาติหนึ่งเป็นเศรษฐี แต่คนนั้นเกิดเป็นคนทุกข์คนเข็ญใจ มันจะเวียนไปอย่างนี้ มันเป็นเรื่องของบุญของกรรมเห็นไหม

เวลาหลวงตาออกมาช่วยโลก มีคนติเตียนมาก ติเตียนว่า เอาเงินของคนจนไปช่วยคนรวย เพราะสิ่งที่ทำให้เศรษฐกิจเป็นอย่างนี้ มีแต่คนรวยทำให้เสียหาย คนจนไปทำอะไรด้วย แล้วทำไมต้องไปเรี่ยไรคนจนมาช่วยคนมั่งมี นี่เวลาคิด คิดแบบโลก เห็นไหม

แต่หลวงตาบอกเลย บอกว่า สิ่งที่เราช่วยโลกนี้ คนเห็นแต่วัตถุ แต่เขาไม่เห็นถึงหัวใจ เวลาคนทุกข์ร้อน คนจนก็ทุกข์ร้อน คนรวยก็ทุกข์ร้อน ทุกข์ร้อนไปทั้งนั้นแหละ ความทุกข์ร้อนอันนั้นเห็นไหม เห็นสิ่งที่เอาเป็นวัตถุมาช่วยโลกนี้ เนี่ย มันช่วยกันเพื่อเสริมเป็นกำลังใจ แต่สิ่งที่ท่านต้องการ เห็นไหม การเสียสละอันนั้น การกระทำอันนั้น มันเป็นบุญกุศลของคนๆ นั้น เป็นบุญกุศล คนนั้นเป็นผู้เสียสละ คนนั้นเป็นผู้กระทำ ใช่ใหม

โลกก็เหมือนกัน คนทุกข์คนเข็ญใจ ปัญหาสังคมมันมีทั้งนั้นแหละ แต่ปัญหาสังคมนี้ คนจะมาช่วยเหลือสังคมด้วยความเป็นจริง กับคนเอาสิ่งที่เป็นปัญหาสังคมนั้นนะมาเป็นประโยชน์ของตนเอง สิ่งนั้นเป็นความขาดแคลนไปหมด คนทุกคนก็ว่าขาดแคลนทั้งนั้นแหละ แต่ขาดแคลนแล้วการช่วยเหลือขาดแคลนนั้น ช่วยเหลือด้วยอะไร ให้ปลาเขากินกับสอนวิธีการจับปลา มันแตกต่างกันไหม ถ้าเขามีวิชาการ มีวิชาชีพของเขา เขาหาอยู่หากินไปตลอดชีวิต เขายังเอาชีวิตรอดได้ เราสงสารเขา เราจะไปช่วยเหลือเจือจานเขา เราจะช่วยเหลือเขา เอาปลาไปให้เขา เขากินมื้อเดียวก็หมดแล้ว

สิ่งที่เราช่วยเหลือเขา เราจะช่วยเหลือเขาได้อย่างไร คนทุกข์คนเข็ญใจมันก็ขาดแคลน ความขาดแคลนทุกคนก็ต้องแสวงหาทั้งนั้นแหละ สิ่งใดที่จะมีคุณค่าในชีวิตของเขา อันนั้นเป็นมุมมองของเขานะ ดูสิ เวลาคนทุกข์คนเข็ญใจนะ ถ้าไม่อดก็ไม่อยาก ถ้าไม่ทุกข์ก็ไม่ยาก เวลาอดมันอยากมาก เวลามันทุกข์ขึ้นมานะ มันบีบคั้นตัวเองนะ แต่ถ้าเราไม่เคยทุกข์ไม่เคยอดไม่เคยอยาก เราจะไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย ความทุกข์อันนั้นมันขาดแคลน ความขาดแคลนอันนั้นมันบีบคั้นหัวใจ ให้หัวใจมันเร่าร้อนนัก พอหัวใจมันเร่าร้อนนะ สิ่งนั้นมันก็มีคุณค่า เห็นไหม

แต่เราถ้าไม่ทุกข์ไม่ยากขึ้นมานะ สิ่งนั้นเราจะเห็นเป็นของเล็กน้อย เห็นไหม มุมมองของสังคม มุมมองของโลก มุมมองของจิต มันแตกต่างกัน ถ้ามันแตกต่างกัน เราจะมีจุดยืนอย่างไร นี่พูดถึงโลกร้อน เห็นไหม ความเร่าร้อน ถ้าเรามีสติเรามีปัญญาของเรา เนี่ยมันฝืนทนไป

เวลาธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ บอกว่านี่เป็นผลของวัฎฏะ เหมือนคนอยู่บนกลางทะเลทราย เดินจนไม่มีทางจะไป แล้วล้มลง แล้วมองไปข้างหน้า ทางมันยังต้องไปอีก ดูสิว่า มันทุกข์ลำเค็ญขนาดไหน นี่คือผลของวัฎฏะ

แต่เราเกิดมาในวัฎฎะแล้ว เราเกิดมาด้วยบุญกุศล เกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม ดูสิ เกิดเป็นชนชั้นต่างๆเห็นไหม ก็ดูถูกดูแคลนกัน แต่นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดเป็นมนุษย์ สัตว์ต่ำต้อยกว่าเรา ทุกอย่างมันต่ำต้อย แล้วเนี่ยกิเลสที่มันเหยียบให้หัวใจเราต่ำต้อยลงไปในหัวใจนี้ เรามีสติปัญญาทันไหม ถ้าเรามีสติปัญญาทัน เห็นไหม คนทุกข์คนเข็ญใจ เขาเสียสละเพื่อสังคม เพื่อสภาวะแวดล้อม เพื่อความมั่นคงของชาติ นี่ครูบาอาจารย์ท่านทำอย่างนั้น

แต่เวลาคนคิดแบบโลก เห็นไหม สิ่งนั้นนะ เวลาคนจะช่วยเหลือเจือจาน ท่านพูดบ่อย “เราไม่ต้องการห้าบาทสิบบาท แต่ต้องการน้ำใจจากคนทั้งชาติ” เขาก็มีส่วนร่วมในการฟื้นฟูขึ้นมา ถ้าเขาฟื้นฟูขึ้นมา ความฟื้นฟูนั้นมันอิ่มใจไหม อย่างเรานี้ เรามีโอกาสในการมีส่วนร่วมในการกระทำต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ เรามีความสุขใจไหม กับที่เขายกชาติกัน เขาช่วยเหลือเจือจานกัน ไอ้เราไม่มีสิ่งใดตอบแทน ไม่มีสิ่งใดไปร่วมมือกับเขาเลยนี้ ในหัวใจเราคิดอย่างไร

เราอาศัยนะ เราอาศัยอยู่ในประเทศชาตินี้ แต่เขาช่วยเหลือเจือจานกัน แล้วเราไม่มีการกระทำอันนั้นเลย ในหัวใจเราจะคิดอย่างไร

ความลับมันไม่มีในโลก เห็นไหม มันเป็นการกระทำของเราทั้งนั้น ถ้าเราทำจริงของเราขึ้นมา มันจะเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา แล้วถ้าผู้นำที่ดี สิ่งใดที่เป็นประโยชน์กับเขาจริง เห็นไหม ไม่ใช่เขาก็ทุกข์จนเข็ญใจกันอยู่แล้ว ยังจะเอาสิ่งนั้นมาเป็นข้ออ้าง เอาสิ่งนั้นมาบังหน้า แต่เรามีความฉ้อฉลในใจ อันนี้ใช้ไม่ได้ แต่ถ้าคนที่เป็น “รัฐบุรุษ” เห็นไหม เขาไม่ได้ทำเพื่อตัวเขา เขาทำเพื่อสังคม เพื่อประเทศชาติ สิ่งที่เราทำ เห็นไหม เพื่อประโยชน์ อันนี้สำคัญ อันนี้เป็นธรรม

สิ่งที่เป็นธรรมนะ แต่คนมองไม่มองเป็นธรรม มองแต่วัตถุ มองแต่ความเป็นไปของโลก เห็นไหม มันก็มีการเอารัดเอาเปรียบกันเป็นธรรมดา ถ้าเรามีการเสียสละ คนจนก็เสียสละ คนรวยก็เสียสละ การเสียสละนั้นมันจะเป็นการเอารัดเอาเปรียบใครล่ะ เราเสียสละเพื่อใคร เราก็เสียสละไป โลกก็ได้ผลประโยชน์อันนั้นตอบแทนแล้ว กับสิ่งที่เราเสียสละออกไป บุญกุศลของเรา

เห็นไหม พระโพธิสัตว์เกิดมาเพราะเหตุใด ดูสิ เวลาเป็นลิง เป็นหัวหน้าลิง เขาจะฆ่า ก็เสียสละชีวิตเลย ทอดตัวเป็นสะพานให้ลูกน้องข้ามไปก่อน สุดท้ายก็เอาตัวรอดได้ จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ผู้เสียสละเพื่อคนอื่น โลกเขาได้อยู่แล้ว เวลาที่เสียสละ สิ่งนี้เป็นบารมีธรรม เห็นไหม “กลิ่นของศีลหอมทวนลม” กลิ่นของการเสียสละอันนั้น กลิ่นของการกระทำอันนั้น นี่บารมีมันเกิด ดูสิ บางคนเขามีอำนาจวาสนา มียศฐาบรรดาศักดิ์ แต่ไม่มีบารมี เห็นไหม ไปอยู่คนเดียว เร่ๆ ร่อนๆ ไปคนเดียวด้วยไม่มีอำนาจวาสนา ถ้ามีอำนาจวาสนาขึ้นมา เห็นไหม บารมีมันเกิดอย่างนี้ ถ้าบารมีมันเกิดอย่างนี้ การเสียสละอันนั้น ทุกคนจะเสียสละกันหมด แต่ผู้นำสิ ผู้ที่ทำเป็นธรรม แต่ความเป็นธรรม เห็นไหม

เรื่องของโลกทุกคนมีกิเลสหมด คำว่า “มีกิเลส” คนจะคิดได้มากคิดได้น้อยเป็นเรื่องของสังคมนะ ถ้าสังคมเป็นไปอย่างนั้น ถ้าเราเกิดในสังคมอย่างนั้น เกิดในประเทศอันสมควร เกิดกับพ่อแม่ที่สมควร เกิดกับพ่อแม่ที่มีสัมมาทิฏฐิ พ่อแม่ที่พาเราไปในทางถูกต้อง ทางที่ดีงาม เกิดในสังคมที่ถึงคราวถึงวาระของมัน สังคมจะปรับตัวของมันไป

เหมือนโลก โลกนี้เป็นอจินไตย มันจะปรับตัวของเราเป็นอย่างนี้ เขาตื่นเต้นกันว่า “โลกแตก” เห็นไหม มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ความเปลี่ยนแปลงของโลกมันจะปรับตัวของมันไป ถึงคราวถึงวาระที่กรรมมันสมดุลของมัน เราจะไปเกิดในวาระนั้น เห็นไหม เกิดในที่ไหน เกิดในสภาวะอย่างไร นั่นล่ะประเทศอันสมควร อันนั้นคือประเทศของโลก แล้วประเทศของธรรมล่ะ ถ้าเกิดในประเทศอันสมควร โลกเขาเร่าร้อน แต่ถ้าจิตใจของเรามีหลักมีเกณฑ์ เห็นไหม เราไม่เป็นเหยื่อไง ไม่งั้นเราก็เป็นเหยื่อของโลกนะ โลกจะดึงเราไป

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ในธรรม เห็นไหม เวลาเกิดมาก็ถือดุ้นไฟมาคนละดุ้น คนละท่อน ถือไว้มันก็มีความร้อนของมัน แต่มันให้แสงสว่างนะ โลกเราก็บ่นว่า “ร้อน ร้อน” เห็นไหม แต่คราวนั้น มีผู้เป็นมหาบุรุษองค์หนึ่ง ได้ทิ้งดุ้นไฟดุ้นนั้นไปแล้ว และยังประกาศให้ประชาชนทิ้งดุ้นไฟนั้น

นี่ก็เหมือน ทิ้งความร้อนในหัวใจ ทิ้งความเร่าร้อนในหัวใจไปแล้ว แต่โลกเขาเร่าร้อนเพราะเขายังถือดุ้นไฟกันอยู่ เพราะอะไร เพราะเขาตักตวง เขาทำเพื่อผลประโยชน์ของเขา แต่นี่ถ้าเป็นประโยชน์ทางธรรม มันก็คือประโยชน์ทางสังคม ประโยชน์ของเขาด้วย ประโยชน์ของประเทศชาติด้วย ประโยชน์ของทุกๆ คนด้วย “ประโยชน์” ทุกคนก็ต้องการทั้งนั้น แต่ถ้าเขาตักตวงผลประโยชน์ของเขา ด้วยความเห็นแก่ตัวของเขา ด้วยความฉ้อฉลของเขา เห็นไหม ถ้าด้วยความฉ้อฉลของเขา แต่ไม่ได้สร้างความทุกข์ร้อนให้ใคร มันก็อีกเรื่องหนึ่งนะ แต่ถ้ามันฉ้อฉลด้วย แล้วยังสร้างความทุกข์ร้อนให้เขาอีกด้วย เห็นไหม

พระโพธิสัตว์สร้างแต่คุณงามความดี สร้างแต่บารมีธรรม แต่นี่เขาก็สร้างเหมือนกัน สร้างบาปอกุศลของเขา ในปัจจุบันก็ร้อนนะโลกร้อนอยู่แล้ว แต่คนทำมันจะร้อนในหัวใจ ในหัวใจจะร้อนนะ มันปิดใครไม่ได้อยู่ มันคับแค้นใจ

ดูสิ พระเทวทัต ถึงที่สุดพระเทวทัตยังสำนึกตัวได้ จะไปขอขมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าไปยังไม่ถึงก็โดนธรณีสูบไป ถึงคางอยู่กับดิน คางอยู่กับดินนี้ เพราะมันยังเห็นได้ใช่ใหม ก็ถวายอันนี้กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังอยู่ในเชตวัน อยู่ในวัด แต่นี่อยู่ข้างนอก แต่ด้วยเจตนาอันนั้น ถวายอันนั้นมันก็ฝังใจไป ฝังใจตรงไหน ฝังใจตรงที่ว่าเรามีอะไรเป็นปมในหัวใจเราอยู่ใช่ไหม แล้วถ้าเราได้เคลียร์ปมที่อยู่ในหัวใจนั้น เราจะสบายใจไหม

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ได้ทำไว้กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยเล่ห์ ด้วยกล เห็นไหม พระเทวทัตบอกว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชราแล้ว ไม่ต้องปกครองสงฆ์ ข้าพเจ้าจะปกครองเอง” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ให้นะ แล้วขอพร ๕อย่าง ให้พระต้องบิณฑบาตเป็นวัตร อยู่โคนไม้เป็นวัตร ถือผ้า ๓ ผืนเป็นวัตร ฟังดูมันก็เคร่งครัดดีนะ แต่มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัส “ธุดงควัตร” ไว้ เห็นไหม ให้อยู่โคนไม้ ๘ เดือน เพราะในหน้าฝนไม่ให้อยู่ สิ่งที่บิณฑบาตเป็นวัตร ถ้าใครพอใจก็ให้ทำ ถ้าใครไม่พอใจก็ไม่ต้องทำ

เพราะคนเราเกิดมา มันแตกต่างหลากหลาย จริตนิสัยของคนไม่เหมือนกัน ความเห็นของคนไม่เหมือนกัน ความเข้มแข็ง อุดมการณ์ในชีวิตของคนไม่เหมือนกัน ใครมีอุดมการณ์ที่เข้มแข็ง อุดมการณ์ที่จะทำให้ถึงที่สุด จะถือธุดงควัตร ก็อีกเรื่องหนึง อุดมการณ์ของเราก็ถึงที่สุดอยู่ แต่การกระทำของเราได้ปานกลาง เราก็ทำอย่างนั้นก็ได้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกว่าไม่อนุญาต นี่ไง เวลาพระเทวทัตขอนี้ ถ้ามองทางวัตถุ โอ้โฮ ! ของดีทั้งนั้นเลย ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อนุมัติซักอย่างหนึ่งเลย แต่ถ้าอนุมัติไป ศาสนาจะไม่มาเป็นอย่างนี้ “มัชฌิมาปฏิปทา” ใครเข้มแข็งก็ให้ทำได้ ใครปานกลางก็ทำได้ ใครอ่อนแอก็สร้างบุญบารมีเอา คือ มาบวชในศาสนาแล้วสร้างบุญญาธิการเอา ไว้เพื่อข้างหน้า องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อนุญาต

ถ้ามองทางวัตถุ ก็จะบอกว่า “องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่สังคม” แต่ความจริงเห็น เห็นถึงจริตนิสัย เห็นถึงความคิดในหัวใจ เห็นถึงอำนาจวาสนาของคน แต่ถ้ามองทางวัตถุ ก็เห็นกันแต่ร่างกายใช่ไหม ถ้าร่างกายมันเป็นประโยชน์ใช่ไหม

สิ่งต่างๆ นี้โลกมองไปอย่างหนึ่ง ธรรมะมองไปอีกอย่างหนึ่ง

สิ่งที่พระเทวทัตได้ทำกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเทวทัตก็รู้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รู้ แต่สังคมไม่รู้ด้วย สมัยนั้นยังไม่รู้ด้วยหรอก แต่พอผ่านไปแล้วเห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน เวลาครูบาอาจารย์เตือนนะว่า “ไฟไหม้”

ไฟไหม้อะไร ไฟไหม้วันเวลาของเราไปไง ไฟไหม้ชีวิตเราไปนะ วันเวลาที่เราได้มา มันไหม้โอกาสไหม้ชีวิตเราไป

สิ่งนี้เตือนไว้ตลอด เวลาออกมามันออกมาจากใจ สิ่งนี้เป็นปัจจุบันธรรม พอเตือนขึ้นมา ก็ว่ากิริยามันรุนแรง รุนแรงเพราะมันเป็นภัยไง ถ้าแสดงธรรมนะจะเป็นอย่างนั้น

ดูสิ เวลาหลวงตาท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นนะ หลวงตาท่านว่าอย่างนั้น หลวงปู่มั่นอยู่กันเหมือนพ่อเหมือนลูกนะ หลวงปู่มั่นเวลาพระอุปัฏฐาก คนเราชราภาพแล้วต้องมีคนดูแลนะ ก็ซึ้งคุณค่าน้ำใจนะ อาจาริยวัตร อาคันตุกวัตร อะไรต่างๆ นี้ สิ่งนี้มันมีค่าน้ำใจ ค่าน้ำใจอยู่กับพ่อกับลูก หลวงตาท่านพูดอยู่ แต่ถามธรรมะไม่ได้นะ พอหันเข้าธรรมะนี่ เปรี้ยง ! เปรี้ยง ! เพราะอะไร เพราะมันเป็นความจริง ไม่มีสิ่งใดที่จะมาทอนให้คุณค่ามันน้อยลงได้ สัจจะมันคือสัจจะ มันไม่มีพ่อกับลูก มันไม่มีทุกอย่าง นั่นแหละมันสัจจะความจริงอันเดียวกัน ใส่ทันทีเลย แต่เวลาพ้นจากธรรมะไปแล้วนะ โอ๋...โอ๋... เหมือนเดิม นี่เวลาเป็นเรื่องของโลก

นี่ถึงบอกว่า ความจริงคือความจริง ถ้าความจริงต้องให้เป็นความจริง ความจริงมันเป็นอย่างนั้น เราจะเอาเรื่องของโลกเข้าไปมีส่วนร่วมไม่ได้ ถ้าเข้าไปมีส่วนร่วมแล้วสิ่งนั้นมันจะอ่อนแอไป นี่พูดถึงว่า ความร้อน ความเข้าใจ ความอะไรต่างๆของเรา ธรรมะมันเป็นอย่างนี้ สิ่งที่หัวใจมันจะสัมผัส มันสัมผัสอย่างนี้

เราเกิดมาในโลก เราจะช่วยเหลือเจือจานกันนะ เราเผื่อแผ่กัน เสียสละกัน เพื่อความร่มเย็นเป็นสุข แต่ถ้าหัวใจนี้ ถ้าความจริงเข้าไป มันเสมอกันหมดไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “พระอรหันต์มีค่าเท่ากันหมดเลย” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ สาวก-สาวกะก็เป็นพระอรหันต์ แต่อำนาจวาสนาบารมีมันต่างกัน มันต่างกันเพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สร้างมาตั้งแต่เป็นพระโพธิสัตว์มหาศาล ๔ อสงไขย

อย่างพวกเรานี่ปากกัดตีนถีบ แล้วเวลาทำขึ้นมา ก็อยากเอามรรคเอาผล ถ้าจะเอามรรคเอาผล มันก็ต้องมีความตั้งใจ มีความจงใจ เราสร้างของเรา ถ้าเราประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมาแล้วมันไม่ถึงที่สุด อันนี้ก็เป็นอำนาจวาสนาบารมี

เราเกิดมามีโอกาสแล้ว เราต้องใช้โอกาสนั้น เราเกิดเป็นมนุษย์แล้วได้พบพระพุทธศาสนา เราได้บวชได้เรียน แล้วเราได้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา อันนี้มันเป็นประสบการณ์ชีวิตทั้งนั้น เป็นของมีคุณค่า สิ่งที่ทำมาแล้วนะมันฝังลงใจหมด ทำดีก็แล้วแต่ ทำชั่วก็แล้วแต่ มันอยู่ที่หัวใจของเรา เพราะมันออกมาจากเจตนา ออกมาจากภวาสวะ ออกมาจากภพ สิ่งนั้นเก็บข้อมูลไว้ทั้งหมด อันนี้เป็นประโยชน์ของเราตลอดชีวิต เอามาเตือนเราตลอดเวลา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกไว้แล้ว “ผู้ที่มีสติ แม้แต่วินาทีเดียว ดีกว่าคนที่ขาดสติทั้งร้อยปี” เรามีสติปัญญาของเรา เราได้ประสบการณ์ของเรา เราจะเอามาใช้เตือนสติของเรา ถ้าสติเราดี เห็นไหม เราจะไม่ประมาทในชีวิต เราจะไม่ประมาทในสิ่งต่างๆ เราจะมีประโยชน์ในชีวิตของเรา เพื่อทำคุณงามความดีกับเรา เพื่อเรา เอวัง